วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 4

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 4

วันจันทร์ ที่ 1 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2559 เวลา 10.30-12.30 น.
วันพฤหัสบดี ที่ 4 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2559 เวลา 11.30-14.30 น.


บรรยากาศในห้องเรียนวันนี้






นำเสนอทฤษฎีทั้ง 4 ด้าน 4 กลุ่ม



ทฤษฎีที่ 1 ทฤษฎีการเคลื่อนไหวทางด้านร่างกายสำหรับเด็กปฐมวัย
ทฤษฎีการเคลื่อนไหวทางด้านร่างกายของอาร์โนลด์ และ กีเซลล์
         กีเซลล์ กล่าวถึง ทฤษฎีพัฒนาการทางร่่างกายว่าการเจริญเติบโตของเด็กจะแสดงออก เป็ฯพฤติกรรมด้านต่าง ๆ สำหรับพัฒนาการด้านร่างกายนั้น หมายถึง การที่เด็กแสดงออกในการจัดกระทำ กับวัสดุ เช่น การเล่นลูกบอล การขีดเขียน เด็กต้องใช้ความสามารถของการใช้สายตาและกล้ามเนื้อมือ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ต้องอาศัยการเจริญเติบโต ของระบบประสาทและการเคลื่อนไหวประกอบกัน ลักษณะพัฒนาการที่สำคัญของเด็กในระยะนี้ ก็คือ การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเคลื่อนไหวการทำงาน ของระบบประสาทกล้ามเนื้อ การพัฒนาความสามารถในการควบคุมร่างกาย การบังคับส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

กีเซลล์ได้แบ่งพัฒนาการเด็กออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้
1.พฤติกรรมด้านการเคลื่อนไหว เป็นความสามารถของร่างกาย ที่ครอบคลุมถึงการบังคับอวัยวะต่างๆ ของร่างกายและความสัมพันธ์ทางด้านการเคลื่อนไหวทั้งหมด
2.พฤติกรรมด้านการปรับตัว เป็นความสามารถในการประสานงานระหว่าง ระบบการเคลื่อนไหวและระบบความรู้สึก เช่น การประสานงานระหว่างตากับมือ
3.พฤติกรรมทางด้านภาษา จะเป็นการแสดงออกทางหน้าตาและท่าทางการเคลื่อนไหว
4.พฤติกรรมทางด้านนิสัยส่วนตัวและสังคม เป็นความสามารถในการปรับตัวของเด็ก ระหว่างบุคคลกับบุคคล และบุคคลภายใต้ภาวะ แวดล้อมและสภาพความเป็นจริง

ทฤษฏีการเรียนรู้ของบรูเนอร์
         บรูเนอร์ เชื่อว่าพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กเกิดจากกระบวนการ ภายในอินทรีย์เน้นความสำคัญของสิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมที่แวดล้อมเด็ก ซึ่งจะพัฒนาได้ดีเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก

บรูเนอร์เน้นหลักการ กระบวนการคิด ประกอบด้วยลักษณะ 4 ข้อ คือ
1.แรงจูงใจ
2.โครงสร้าง
3.ลำดับขั้นการต่อเนื่อง
4.การเสริมแรง

บรูเนอร์แบ่งขั้นพัฒนาการการเรียนรู้ของมนุษย์ ออกเป็น 3 ขั้น คือ
1.ขั้นการกระทำ เด็กเรียนรู้จากการกระทำและการสัมผัส
2.ขั้นคิดจิตนาการหรือสร้างมโนภาพ เด็กเกิดความคิดจากการรับรู้ตามความเป็นจริง และการคิดจากจิตนาการ
3.ขั้นใช้สัญลักษณ์และคิดรวบยอด เด็กเริ่มเข้าใจการเรียนรู้ความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว และพัฒนาความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งที่พบเห็น

ทฤษฎีที่ 2 ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา
ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นได
เน้นการเรียนรู้ที่สำคัญด้วยกฎ 3 ประการ
1.กฎแห่งความพร้อม การเรียนรู้จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีความพร้อมทั้งทางกายและทางใจเกี่ยวกับร่างกาย เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม การใช้กล้ามเนื้อและระบบประสาทให้สัมพันธ์เพื่อเป็นการฝึกทักษะเกี่ยวกับจิตใจ เป็นความพร้อมทางด้านสมองและสติปํญญา
2.กฎแห่งการฝึกหัด เด็กจะเรียนรู้จากการกระทำซ้ำๆ กันหลายๆครั้ง เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวและจังหวะ เด็กจะเกิดทักษะในแบบต่างๆซึ่งทำให้ระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำงานสัมพันธ์กันดี
3.กฎแห่งผล เด็กจะเรียนรู้ได้ดีถ้าผลของการกระทำนั้นเป็นไปในทางบวกหรือทางที่ดี ซึ่งจะทำให้เด็กเกิดความสนใจ เกิดทักษะ ทำให้เด็กมีความสนุกสนานและพอใจ
ทฤษฎีของเพียเจต์
       เพียเจต์ถือว่าการให้เด็กได้สัมผัสวัสดุต่าง ๆ จะส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ โดยเฉพาะกับเด็กปฐฒวัยซึ่งอาศัยการเรียนรู้ เป็นสื่อการกระตุ้นของเด็ก จำเป็ฯต้องให้เด็กได้มีโอกาศการเคลื่อนไหวและสัมผัสต่างๆ


ทฤษฎีที่ 3 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์ของกิลฟอร์ด
       กิลฟอร์ด กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถทางสมองที่คิดได้อย่างซับซ้อน กว้างไกลหลายทิศทาง หรือที่เรียกว่า คิดอเนกอนัย ซึ่งประกอบด้วย ความคิดริเริ่ม ความคิดคล่องแคล่ว ความคิดยืดหยุ่น ความคิดละเอียดละออ

กิลฟอร์ดได้ให้รายละเอียดขององค์ประกอบของความคิดสร้าง ไว้ดังนี้
1.ความคิดริเริ่ม หมายถึง ความคิดแปลกใหม่ไม่ซ้ำกัน กับความคิดของคนอื่น และแตกต่างจากความคิดธรรมดา ความคิดริเริ่มอาจเกิดจากความคิดจากเดิมที่มีอยู่แล้วให้แปลกแตกต่างจากที่เคยเห็นหรือสามารถพลิกแพลงให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่เคยคาดคิด ความคิดริเริ่มอาจเป็นการนำเอาความคิดเก่ามาปรุงแต่งผสมผสานจนเกิดเป็นของใหม่
2.ความคิดคล่องแคล่ว หมายถึง ปริมาณความคิดที่ไม่ซ้ำกันในเรื่องเดียวกัน โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
             2.1 ความคิดคล่องแคล่วทางด้านถ้อยคำเป็นความสามารถในการใช้ถ้อยคำอย่างคล่องแคล่ว
             2.2 ความคิดคล่องแคล่วทางด้านการโยงสัมพันธ์เป็ฯความสามารถที่จะคิดหาถ้อยคำที่เหมือนกันได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ภายในเวลาที่กำหนด
             2.2 ความคล่องแคล่วทางด้านการแสดงออก เป็นความสามารถในการใช้วลีหรือประโยชน์กล่าว คือ สามารถที่จะนำคำมาเรียงกันอย่างรวดเร็วเพื่อให้ได้ประโยชน์ที่ต้องการ
             2.3 ความคล่องแคล่วในการคิด เป็นความสามารถที่จะคิดค้นสิ่งที่ต้องการภายในเวลาที่กำหนด
3.ความคิดยืดหยุ่น หมายถึง ประเภทหรือแบบของการคิดแบ่งออกเป็น
            3.1 ความคิดยืดหยุ่นที่เกิดขึ้นทันที เป็นความสามารถที่จะพยายามคิดได้หลายทางอย่างอิสระ ตัวอย่างของคนที่มีความคิดยืดหยุ่นในด้านนี้จะคิดได้ว่าประโยชน์ของหนังสือพิมพ์มีอะไรบ้าง ความคิดของผู้ที่ยืดหยุ่นสามารถจัดกลุ่มได้หลายทิศทางหรือหลายด้าน เช่น เพื่อรู้ข่าวสาร เพื่อโฆษณาสินค้า เพื่อธุรกิจ ฯลฯ ในขณะที่คนมีความคิดสร้างสรรค์จะทำได้ทิศทางเดียว คือ เพื่อรู้ข่าวสาร เท่านั้น
           3.2 ความยืดหยุ่นทางด้านการดัดแปลงหมายถึง ความสามารถในการดัดแปลงความรู้หรือประสบการณ์ให้เกิดประโยชน์หลายๆ ด้าน
4.ความคิดละเอียดละออ หมายถึง ความคิดในรายละเอียดเป็ฯขั้นตอน สามารถอธิบายให้เห็นภาพชัดเจน หรือเป็ฯแผนงานที่สมบูรณ์ขึ้น ความคิดละเอียดละออจัดเป็ฯรายละเอียดที่นำมาตกแต่งขยายความคิดครั้งแรกให้สมบูรณ์ขึ้น

ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ของทอร์แรนซ์
อี พอล ทอร์แรนซ์ นิยามความคิดสร้างสรรค์ว่าเป็ฯกระบวนการของความรู้สึกไวต่อปัญหา หรือสิ่งบกพร่องขาดหายไปแล้ว รวบรวมความคิดตั้งเป็นสมมติฐานขึ้น ต่อจากนั้นก็ทำการรวบรวมข้อมูลต่างๆ เพื่อทดสอบสมมติฐานนั้น 

ทอร์แรนซ์ มีกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ แบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอนดังนี้
1.การพบความจริง
2.การค้นพบปัญหา
3.การตั้งสมมติฐาน
4.การแก้ปัญหา
5.ยอมรับผลจากการค้นพบ

ขั้นตอนของความคิดสร้างสรรค์แบ่งออกเป็น 4 ขั้น ดังนี้
1.เริ่มคิด
2.ขั้นขรุ่นคิด
3.ขั้นเกิดความคิด
4.ขั้นปรับปรุง

ทฤษฎีที่ 4 ทฤษฎีด้านสังคม
ทฤษฎีของอิริคสัน
อิริคสันได้แบ่งพัฒนาการของบุคลิกภาพออกเป็น 8 ขั้น ดังนี้
1.ขั้นความไว้วางใจ-ความไม่ไว้วางใจ ซึ่งเป็นขั้นวัยทารก อิริคสันถือว่าเป็ฯรากฐานที่สำคัญของพัฒนาการในวัยต่อไป
2.ขั้นความเป็นตัวของตัวเองอย่างอิสระ-ความสงสัยไม่แน่ใจในตนเอง อยู่ในช่วงอายุ 2-3 ปี วันนี้เป็ฯวัยที่เริ่เดินได้ สามารถที่จะพูดได้และความเจริญเติบโตขอร่างกาย ช่วยให้เด็กมีความอิสระพึ่งตนเอง และมีความอยากรู้อยากเห็น
3.ขั้นการเป็นผู้คิดริเริ่ม-การรู้สึกผิด วัยเด็กอายุประมาณ 3-5 ปี อิริคสันเรียกวัยนี้ว่าเป็นวัยที่เด็กมีความคิดริเริ่มอยากทำอะไรด้วยตนเอง การเล่นสำคัญมากสำหรับเด็กวัยนี้เพราะเด็กจะได้ทดลองทำสิ่งต่างๆ

(3 ขั้นนี้เป็นขั้นพัฒนาการสำหรับเด็กปฐมวัย)
ทฤษฎีของอัลเบิร์ต แบนดูร่า
        การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยจึงเกิดขึ้นได้ ซึ่งกระบวนการต่างๆ ของการเลียนแบบของเด็ก ประกอบด้วย 4 ประการ ดังนี้
    1.กระบวนการดึงดูดความสนใจ กิจกรรมการเรียนรู้ที่เด็กสังเกตตัวแบบ และตัวแบบนั้นดึงดูดความสนใจ ที่จะเลียนแบบ ควรเป็นกิจกรรมง่ายๆไม่สลับซับซ้อน
    2.กระบวนการคงไว้ คือกระบวนการบันทึกรหัสเป็นความทรงจำ การที่เด็กจะต้องมีความแม่นยำ ในการบันทึกสิ่งที่ได้ยินเก็บเป็ฯความทรงจำ
    3.กระบวนการแสดงออก คือการแสดงผลเรียนรู้ด้วยการกระทำคือ การที่เด็กเกิดผลสำเร็จในการเรียนรู้จากตัวรูปแบบต่างๆ
   4.กระบวนการจูงใจ คือกระบวนการเสริมแรงให้กับเด็กเพื่อแสดงพฤติกรรมตามตัวแบบที่จะมาจากบุคคลที่ไม่มีชื่อเสียง


วันพฤหัสบดี ที่ 4 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2559

คุณครูรออยู่ในห้องแล้ว เพื่อนๆและเราก็ต่างปั๊มตัวการ์ตูนเพื่อแสดงให้เห็นว่าเรามาแล้วว


ปั๊มก่อนเข้าเรียน



บริหารสมองก่อนทำกิจกรรมต่อไป






เพลงที่ใช่ทำกิจกรรมเคลื่อนไหวในวันนี้

หลังจากบริหารสมองกันเสร็จ ครูก็เปิดเพลงเด็กให้ฟังทำนอง แล้วสั่งให้นักศึกษาแบ่งกลุ่ม เป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 5 คน จากนั่นให้คิดท่าเคลื่อนไหวประกอบจังหวะให้เหมาะสมกับเด็กปฐมวัย โดยในกลุ่มจะต้องออกมานำเสนอหน้าชั้นเรียนทุกคน คนละ 2 ท่า 5 คนก็รวมเป็น 10  ท่าต่อกลุ่ม 




กลุ่มแรกของเรา ภาพสวยงามมากค่ะ ท่าก็สวย เริ่ดค้ะ อิอิ






หลีดพร้อม "พร้อม"



                                         

คลิปของกลุ่มสุดท้าย ชอบจึงถ่ายไว้ดูเล่น 55^^


เมื่อออกไปนำเสนอท่าออกกำลังกายจนครบหมดทุกกลุ่มแล้ว โจทย์ต่อไปคือ คิดท่าของตนเองไว้ 3 ท่า แล้วออกมานำเสนอหน้าชั้นเรียน ทีละคน โดยสมมติให้เพื่อนเป็นเด็กๆแล้วเราเป็นครู เราต้องออกมาอธิบายเป็นขั้นตอนให้เด็กเข้าใจและสามารถทำตามคำสั่งได้ ในขณะที่พูดอธิบายทำกิจกรรมอยู่นั้นจำเป็นมากที่จะต้องยิ้มอยู่เสมอ และอีกอย่างนึ่งที่สำคัญคือเด็กเล็กจะยังไม่รู้จักซ้ายขวาดีนัก ถ้าเราอยู่หน้าเด็กหันหน้าไปทางเด็กให้นึกว่าเราเป็นกระจกให้กับเขา ถ้าหากเรายกแขนซ้าย เราก็บอกว่าแขนขวาเพราะเป็นแขนขวาของเด็กหากหันไปทางเด็กเราอ่านจะงงๆในช่วงแรก แต่ปัญหานี้จะหมดไปในช่วงเด็กโตขึ้นเขาจะรู้จักซ้ายขวาและฝั่งตรงข้ามผู้เป็นกระจกแล้วจึงไม่ต้องพูดสลับกันให้งง แต่เด็กเล็กนั้นสำคัญมาที่จะต้องทำแบบนี้ (ใช้ในกรณีที่เรายืนหันหน้าไปทางเด็ก)



ครูเป็นตัวอย่างให้ดู



คนแรกๆเป็นผู้โชคที่ ที่ครูจะคอยช่วยอยู๋ข้างค่ะ^^




หลังๆมา ตัวใครตัวมันนะจะ อีนู๋ววว อิอิ



การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
-ได้รับความรู้เรื่องการจัดประสบการณ์การเคลื่อนไหวที่เหมาะสมกับเด็กปฐมวัยเพื่อนำไปใช้ให้เหมาะสม
-มีความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบท่าทางที่ไม่ซ้ำ
-สิ่งที่ควรรู้จากกาสรเป็นครูปฐมวัย นำไปใช้ในการสอน
-คำนึงถึุงเด็กเล็กเวลาบอก ซ้าย ขวา รู้วิธีจัดการปัญหาให้ง่ายต่อการสอนให้เด็กเข้าใจ
-มีเทคนิควิธีการที่แปลกใหม่ ในการสอน

ประเมิณผล

ประเมิณตนเอง : ตรงต่อเวลา ตั้งใจร่วมกิจกรรม แสดงความคิดเห็นช่วยเหลือเพื่อนในกลุ่มและห้อง เข้าใจในเนื้อหาที่เรียนเป็นอย่างดี และสนุกกับการเรียน

ประเมิณเพื่อน : ตรงต่อเวลา ตั้งใจทำกิจกรรมร่วมกัน ช่วยเหลือกันดี สร้างบรรยากาศให้นุกหน้าเรียน 

ประเมิณอาจารย์ : ตรงต่อเวลา เตรียมเนื้อหาการสอนมาอย่างดี สร้างบรรยากาศให้น่าเรียน ยิ้มแย้มแจ่มใส แนะนำส่งเสริมสิ่งดีๆให้กับนักศึกษา 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น